ดีท็อกซ์ ขับล้างสารพิษในลำไส้ ฟื้นฟู บำรุงตับ ปรับสมดุลร่างกาย ขับถ่ายปกติ หยุดอาการท้องผูก ขับของเสียในลำไส้ ดีท็อกซ์เลือด ขับไขมัน

การดีท็อกซ์คือ อะไร? สำคัญอย่างไร เหมาะสำหรับใคร การดีท็อกซ์ คือการล้างเอาสารพิษต่างๆที่สะสมอยู่ในร่างกายเป็นเวลายาวนานนำออกมา หรือเรียกอีกอย่าง การล้างชีวิต Detox your life จะเปลี่ยนแปลงชีวิตของเราให้ดีขึ้น ขั้นตอนปฏิบัติ ควรทำอย่างไ? เมื่อปฏิบัติแล้วชีวิตของแต่ละท่านจะมีชีวิตดีกว่าเดิม มีความสุข สุขภาพดี และสดชื่นมีชีวิตชีวา จะเห็นผลเมื่อไหร่? ในปัจจุบันนี้ เราเองต้องเผชิญกับปัญหามากมายที่มารุมเร้า(ปัญหาเศรษฐกิจ ปัญหาเชื้อโรคต่างๆ เช่น โควิค 19 ) ซึ่งเป็นปั่นทอนสุขภาพร่างกายและสุขภาพจิตใจของเรา สิ่งที่ดีที่สุดที่จะแก้ไขอาการ ดังกล่าว ได้เห็นจะหนีไม่พ้นตัวของเราเอง ล้างพิษ คือหนทางหนึ่งของการดูแลสุขภาพ ทั้งทางกาย และทางใจ เราสามารถปฏิบัติได้อย่างง่ายๆ ด้วยตัวของเราเอง และจะเห็นผลภายในระยะเวลาอันใกล้ ไม่เกิน 1 เดือน เพียงแค่เราหรือคุณมีความตั้งใจปฏิบัติตามขั้นตอน

ราชาแห่งสมุนไพร

 ราชาแห่งสมุนไพร  โสม   เห็ดหลินจือ    ถังเช่า  
(เห็ด)ถั่งเช่า ช่วยปรับการทำงานของหัวใจ เสริมภูมิคุ้มกัน ต้านมะเร็ง ลดไขมันในเลือด ฟื้นฟูการทำงานของไต เสริมสร้างการทำงานของตับ ลดระดับน้ำตาลในเลือด เสริมสมรรถภาพ
โสม ปรับสมดุลของร่างกาย ต้านพิษในตับ ลดคอเลสเตอรอล บำรุงหัวใจ


<script async src="https://pagead2.googlesyndication.com/pagead/js/adsbygoogle.js?client=ca-pub-7543978496873457"
     crossorigin="anonymous"></script>

สมุนไพรพื้นบ้าน

5 สมุนไพรพื้นบ้านช่วยต้านโควิด-19

ในปัจจุบันได้มีการศึกษาวิจัยต่อยอดสมุนไพรไทยจนเป็นที่ยอมรับกันอย่างกว้างขวาง ยิ่งในช่วงสถานการณ์โควิด-19 สมุนไพรไทยนับเป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่สามารถใช้บรรเทาอาการเบื้องต้นของไข้หวัดได้ ซึ่งนายธีระ เชื้อประทุม แพทย์แผนไทยประยุกต์ ประจำบริษัท ผลิตภัณฑ์สมุนไพรไทย จำกัด (ไทยเฮิร์บ) บริษัทร่วมทุนขององค์การเภสัชกรรม กล่าวว่า สมุนไพรไทยนั้นเป็นจุดแข็งของประเทศไทย มีการใช้กันมาอย่างยาวนาน และเป็นภูมิปัญญาที่ส่งต่อรุ่นสู่รุ่น ไทยเฮิร์บจึงขอแนะนำสมุนไพรพื้นบ้านที่เป็นประโยชน์และแนะนำให้ใช้ 5 ชนิด ดังต่อไปนี้

1.ฟ้าทะลายโจร มีการศึกษาวิจัยกันอย่างแพร่หลาย ทั้ง จีน สิงคโปร์ รวมถึงประเทศไทย และได้มีการนำเสนอผ่านสื่ออย่างต่อเนื่อง โดยงานวิจัยที่ได้รับการรับรองแล้วพบว่า กลไกต้านไวรัสของฟ้าทะลายโจรป้องกันไม่ให้ไวรัสเข้าเซลล์ ลดการแบ่งตัวไวรัสภายในเซลล์ เพิ่มภูมิคุ้มกันในการต่อสู้กับไวรัส รวมถึงลดอาการการอักเสบที่ปอดจากการติดเชื้อไวรัส

2.ขิง ซึ่งมีรสเผ็ดร้อน มีคุณสมบัติอุ่น พบฤทธิ์ต้านไวรัสไข้หวัดใหญ่ โดยทั่วไปแล้วมักนำมากินแก้หวัด ซึ่งขิงนั้นมีสารต้านอนุมูลอิสระ (antioxidant) และสารต้านการอักเสบ (anti-inflammatory) อยู่มากมาย เช่น Gingerol, Shogoal และ Paradoal

3.มะขามป้อม เป็นยาแก้ไอ ละลายเสมหะ โดยพื้นบ้านใช้รักษาหลอดลมอักเสบ วัณโรคปอด หอบหืด ช่วยส่งเสริมการทำงานของระบบภูมิคุ้มกัน โดยสารสำคัญในมะขามป้อมสามารถจับกับขาโปรตีนของไวรัสโควิด-19 และตัวรับ ACE2 ซึ่งมีบทบาทการผ่านเข้าเซลล์ปอด และยังเข้าจับกับเชื้อในหลายตำแหน่งที่มีผลต่อการยับยั้งการสร้างและการแบ่งตัวของเชื้อไวรัสได้

4.ขมิ้นชัน จากการศึกษาในหลอดทดลอง พบว่ามีฤทธิ์ต่อต้านเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์เอ ในการป้องกันไม่ให้เชื้อเข้าเซลล์ ยับยั้งการแบ่งตัวของเชื้อไวรัส และช่วยยับยั้งการหลั่งสารอักเสบ ทั้งนี้จากการจำลองภาพสามมิติในคอมพิวเตอร์ พบว่าสารสำคัญของขมิ้นชัน และ demethoxycurcumine สามารถแย่งจับกับตำแหน่งของไวรัสโควิด-19 ที่มีผลยับยั้งการแบ่งตัวของไวรัสได้

5.กระเทียม มีฤทธิ์ต่อระบบภูมิคุ้มกัน สาร allicin ในกระเทียม มีฤทธิ์ลดการอักเสบ ป้องกันการหลั่งสาร cytokine ที่ทำให้เกิดการอักเสบ นอกจากนี้ยังส่งเสริมการทำงานของเม็ดเลือดขาว และช่วยเพิ่มแอนติบอดี้ ชนิด immunoglobulin A (IgA) ซึ่งเป็นด่านแรกของภูมิคุ้มกันในร่างกาย โดยพบมากที่ระบบทางเดินหายใจและระบบทางเดินอาหาร ตามเยื่อเมือกต่างๆ และยังช่วยกระตุ้นการทำงานของ B-cell lymphocyte รวมทั้งกระตุ้นการหลั่งของสาร interferon ซึ่งเป็นสารที่สร้างในระบบภูมิคุ้มกันเพื่อต้านไวรัส จากการจำลองภาพสามมิติในคอมพิวเตอร์ พบว่า สารสำคัญ quercetin และ allicin ที่พบสามารถแย่งจับกับตำแหน่ง main protease ที่ช่วยยับยั้งการแบ่งตัวของไวรัสโควิด-19 ได้

โดยปัจจุบันมีการทำวิจัยและต่อยอดสมุนไพรไทย โดยได้แปรรูปสมุนไพรไทยมาเป็นในรูปแบบของผลิตภัณฑ์ชนิดแคปซูล ชาผง เพื่อการเข้าถึงที่ง่าย พกพาสะดวก และง่ายต่อการรับประทาน มีวางจำหน่ายตามร้านขายยา โมเดิร์นเทรด และโรงพยาบาลชั้นนำกว่า 60 สาขาทั่วประเทศแล้ว.

 





กำเนิดคลอโรฟิลล์

คลิโรฟิลล์ (CHLOROPHYLL)

      คลอโรฟิลล์ (CHLOROPHYLL) คือ สารประกอบที่ทำให้พืชมีสีเขียว และทำหน้าที่หลัก คือ สังเคราะห์แสง (PHOTOSYNTHESIS)  โดยการเปลี่ยนแปลงพลังงานจากแสงอาทิตย์ ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ และแร่ธาตุต่างๆ จากดินให้กลายเป็นสารอาหารที่จำเป็นสำหรับการเจริญเติบโตของพืช รวมทั้งให้ก๊าซออกซิเจนที่สำคัญต่อการดำรงชีวิตของมนุษย์และสัตว์ แต่บางชนิดสังเคราะห์แสงได้แม้ในที่ไม่มีแสง เช่น ในร่างกายของตน จึงมีการค้นคว้าเกี่ยวกับการทำงานหรือปฏิกิริยาของคลอโรฟิลล์ต่อคน
      พบว่าคลอโรฟิลล์ที่อยู่ในเซลล์ของพืชทั่วไป จะถูกปกป้องและปิดกั้นด้วยผนังหรือเยื่อหุ้มเซลล์อีกชั้นหนึ่ง ทำให้ระบบการย่อยอาหารปกติของร่างกายเราไม่สามารถบดย่อย เพื่อให้ได้สารคลอโรฟิลล์เพียงพอกับการต้องการของร่างกายเราได้ เราจะบริโภคผักใบเขียวเป็นจำนวนมากในแต่ละวันก็ตาม อีกทั้งคลอโรฟิลล์โดยตัวของมันเองละลายน้ำไม่ได้ จะละลายได้ในไขมันหรือในแอลกอฮอล์บางชนิดเท่านั้น แต่ด้วยเทคโนโลยีในปัจจุบัน เราสามารถสกัดเอาเฉพาะสารคลอโรฟิลล์ออกมาได้อย่างสมบูรณ์และบริสุทธิ์ โดยปราศจากการสูญเสียคุณค่าทางอาหารตามธรรมชาติร่างกายจึงสามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้ทันทีอย่างเต็มที่ และเป็นคลอโรฟิลล์ชนิดละลายน้ำได้ จึงดูดซึมได้ทันทีในกระเพาะอาหาร ในกรณีที่ร่างกายใช้ไม่หมด จะถูกขับทิ้งไปทางระบบขับถ่ายไม่สะสมไว้ในร่างกายผิดกับคลอโรฟิลล์ชนิดที่ละลายในไขมัน   จะไม่ถูกดูดซึมที่กระเพาะอาหารแต่จะย่อยและดูดซึมได้ในลำไส้เล็ก 
      คลอโรฟิลล์ชนิดนี้เมื่อร่างกายใช้ไม่หมดจะถูกส่งไปสะสมไว้ที่ตับ(LIVER) ในระยะเวลาหนึ่ง ซึงอาจจะเกิดอันตรายต่อตับได้ องค์การอาหารและยาสหรัฐจึงให้การับรองเฉพาะคลอโรฟิลล์ที่ละลายน้ำได้(WATER SOLUBLE CHOLROPHYLL) เท่านั้น ว่าปลอดภัยต่อการบริโภคของคน ถึงแม้ว่าจะบริโภคในปริมาณมากต่อวัน ก็ไม่เกิดผลเสียต่อร่างกายแต่อย่างใด ผลข้างเคียงที่เกิดขึ้นมีเพียงแต่อาการท้องเสียอย่างเบาบางในบางกรณีเท่านั้น
      สูตรโครงสร้างของโมเลกุลที่ใกล้เคียงกับโมเลกุลเม็ดเลือดแดง ต่างกันเฉพาะตรงกลางที่คลอโรฟิลล์มีแมกนีเซียม(Mg) และเม็ดเลือดแดงมีเหล็ก (Fe) จึงทำให้สีต่างกัน คือ คลอโรฟิลล์มีสีเขียวแต่เม็ดเลือดมีสีแดงจากจุดนี้เองที่ทำให้คลอโรฟิลล์ถูกเรียกว่า เลือดของพืช”(BLOOD OF PLANT)
            ผลการวิจัยทางวิทยาศาสตร์การแพทย์ สรุปตรงกันออกมาว่า คลอโรฟิลล์สามารถกระตุ้นการสร้างเม็ดเลือดแดงได้ จนผู้ทำวิจัย ได้รับรางวัลโนเบล(NOBLE PRIZE) ไปแล้วถึง 2 ท่านด้วยกัน คือ
·       ดร.ริชาร์ด วินสเตตเตอร์ (DR. RICCHARD WINSTATER) ศาสตราจารย์จากมหาวิทยาลัยออสเตรีย ในปี ค.ศ. 1915 และ
·       ดร. ฮันส์  ฟิชเชอร์ (DR.HANS FISHER M.D.) นายแพทย์ชาวเยอรมันในปี ค.ศ.1930ผู้ซึ่งค้นพบความสัมพันธ์ระหว่างเม็ดเลือดแดงและคลอโรฟิลล์ในบางเงื่อนไขสมารถแทนที่ศูนย์กลางของคลอโรฟิลล์ด้วยเหล็ก(Fe) จากอาหารธรรมชาติบางประเภท ทำให้อัตราการเพิ่มของเม็ดเลือดแดงดีขึ้น ทั้งนี้แมกนีเซียม (Mg) ที่หลุดออกไปจากศูนย์กลางโมเลกุลของคลอโรฟิลล์ ก็จะทำหน้าที่พาแคลเซียม(Ca) เข้าไปอุดรูพรุนของกระดูกต่างๆ ทำให้กระดูกแข็งแรงขึ้น ในโพรงกระดูก ซีงมีไขกระดูก (BONE MARROW)อยู่ก็จะมีการสร้างเม็ดเลือดแดงได้ในปริมาณที่มากขึ้น (หน้าที่ของไขกระดูก คือ สร้างเม็ดเลือดแดงและปรับระดับความเป็นด่างในกระแสเลือด)
            จากการทำวิจัยขององค์การอาหารและยาสหรัฐ กับผู้ป่วยแผลเปิด จำนวน 3,600 ราย พบว่าคลอโรฟิลล์ช่วยกระตุ้นให้มีการสร้างเซลล์ใหม่ให้เร็วขึ้นทำให้แผลหายเร็วกว่าปกติ 25%ขึ้นไปและรอยแผลเป็นลดขนาดลงกว่า 50 % หรือมากกว่า
            จากกรณีนี้จึงมีการวิจัยต่อเกี่ยวกับการรักษาอาการเจ็บป่วยในร่างการ อันเป็นสาเหตูของการเกิดกลิ่นอันไม่พึงประสงค์ พบว่าผู้ป่วยทั้ง 1227 ราย กลิ่นภายในหายหมดหลังจากใช้คลอโรฟิลล์ผ่านไป 2 สัปดาห์ จึให้การรับรองว่าเป็นยาดับกลิ่นภายใน สามารถซื้อขายได้ตามร้านขายยาทั่วไป ตั้งแต่วันที่ 11  พฤษภาคม 1990  ตามเอกสารขึ้นทะเบียนยาที่ 21 CFR Part 357 Deodorant Drug Products for Internal Use for Over-the Counter Human Use: Final Monograph Final Rule
            การสกัดและวิเคราะห์ คลอโรฟิลล์ จากพืชกว่า 6,000 ชนิด พบว่าพืชที่ใช้ คลอโรฟิลล์ที่บริสุทธิ์และดีที่สุดคือ อัลฟัลฟ่า”  (ALFALFA) ซึ่งจัดเป็นพืชจำพวกที่มีฝัก (LEGUMES) ตระกูลถั่ว และมีระบบรากที่มหัศจรรย์มาก ในบางพื้นที่รากของต้นอัลฟัลฟ่าสามารถชอนไชลงไปลึกกว่า 130 ฟุต จึงมีประสิทธิภาพในการดูดซึมอาหารได้มากกว่า และบริสุทธิ์กว่าอีกทั้งตัวของมันเองจะไม่สะสมสารพิษ ชาวอาหรับโบราณรู้จักใช้ประโยชน์จาก อัลฟัลฟ่ามากกว่า 200 ปี ก่อนคริสตกาล โดยใช้เป็นพืชเลี้ยงสัตว์ และใช้ใบมาตากแห้งชงเป็นชาดื่ม จึงขนานนามว่า “AL-FAS-FAH-SHA หรือ ราชาแห่งอาหารทั้งมวล
ประโยชน์ของคลอโรฟิลล์จากต้น อัลฟัลฟ่า                                                          
            สามารถใช้บำบัดอาการปวด บวม และอักเสบต่างๆ เช่น ปวดข้อ จนกระทั่งถึงความผิดปกติในระบบทางเดินอาหาร และเซลล์ตับถูกทำลาย นอกจากนี้ยังเชื่อกันว่า อัลฟัลฟ่า สามารถช่วยทำให้เลือดสะอาดขึ้น
·       อัลฟัลฟ่า เป็นพืชที่ให้กรดอะมิโนที่จำเป็นครบทั้ง 8 ชนิด ซึ่งได้แก่ :-กรดอะมิโนโอโซลิวซีน,ลิวซีน,ไลซีน,เมไธโอนิน,พีนิลละลานีน,เทรโอนีน,ทริปโตฟาน,วาลีน
·       อัลฟัลฟ่า มีกรดอะมิโน เหล่านี้ ร่างกายสร้างเองไม่ได้ แต่จำเป็นต้องมีไว้เพื่อใช้ประโยชน์ในการสร้างเซลล์ใหม่ใน อัลฟัลฟ่า ยังมีวิตามิน ดังนี้ วิตามิน เอ,วิตามิน บี 6,วิตามิน บี 12,วิตามิน ดี,วิตามิน เค
·       อัลฟัลฟ่า มีเกลือแร่ ได้แก่ :-ฟอสฟอรัส,โปรแตสเซียม,แคลเซียม,สังกะสี,เซเลเนียม,แมกนีเซียม
·       อัลฟัลฟ่า มีสารเอนไซม์หลัก 8 ชนิด ได้แก่ :-ไลเปส,อาเมเลส,โคกูเลส,อีมูลซิน,อินเวอร์เตส,เปอร์อ๊อกซิเตส,เพคติเนส,โปรตีส
·       มนุษย์เราต้องการเอนไซม์มากกว่า 3,000 ชนิด แต่ร่างกายสร้างได้เองเพียงไม่กี่ชนิด นอกนั้นต้องบริโภคจากอาหารสดประจำวันประเภทพืชผัก และผลไม้ต่างๆ  แต่ถ้าหากอาหารเหล่านี้ผ่านความร้อนเกินกว่า 55 องศาเซนเซียส ขึ้นไป เอนไซม์ต่างๆ จะเสื่อม หรือเปลี่ยนรูปไป และร่างกายจะไม่ได้ประโยชน์อะไรเลย
            ร่างกายต้องการเอนไซม์เพื่อช่วยปรับระดับความสมดุลของระบบภูมิคุ้มกันต่างๆ และจากวิธีการรับประทานอาหารในปัจจุบันนี้ เราได้รับเอนไซม์เข้าไปในร่างกายน้อยมาก
·       อัลฟัลฟ่ายังมี ซาโปนินซึ่งเป็นสารที่มีผลในการลดการอุดตันของเลือด และช่วยยับยั้งคลอเลสเตอรอลชนิดเลว (LDL) ในเลือดลงได้ ช่วยลดความดันโลหิตลง
·       สารไอโซฟลาโวน,ฟลานโวน ,เตอโรล ในอัลฟัลฟ่ายังช่วยกระตุ้นการสร้าง ฮอร์โมนเอสโตรเจนและปรับระดับฮอร์โมนนี้ในสุภาพสตรี ทั้งก่อนมีรอบเดือน (PMS) และอยู่ในวัยที่ใกล้จะหมดรอบเดือน (MENOPAUSE)
· 
· 

ประธานบริษัท ดีซูซ่า อินเตอร์เนชั่นแนล

.
 
 อ้างอิงค์ที่มา      Mrs.Rosalie P.De Souza    ประธานผู้ก่อตั้ง ดีซูซ่า

คุณประโยชน์ของ คลอโรฟิลล์บริสุทธิ์ 100%

ประโยชน์ของ คลอโรฟิลล์บริสุทธิ์ 100% 

• ทำให้สดชื่น หายเหนื่อยจากการอ่อนเพลีย   
• ลดความดันโลหิต ลดปัญหาเส้นเลือดหัวใจตีบ
• ปรับระดับน้ำตาลสำหรับผู้ที่ป่วยเป็นโรคเบาหวาน และปรับการทำงานของตับอ่อนให้ดีขึ้น
• ทำให้อาการของคนที่เป็นโรคภูมิแพ้ แพ้อากาศ ผื่นลมพิษ ทุเลาลง
• ขับกรดจากข้อต่อต่าง ๆ ทำให้อาการปวดข้อ ปวดเมื่อยตามตัวทุเลาลง 
• ขับสารพิษออกจากร่างกาย สารตกค้างของยาปฏิชีวนะ สารเคมีตกค้าง ในอาหาร    ทำให้ร่างกายมีภูมิต้านทานดี สุขภาพแข็งแรงสดชื่นขึ้น
• เพิ่มประสิทธิภาพเม็ดเลือดแดงและเซลล์เม็ดเลือดแดงทำให้ระบบเลือดไหลเวียนดีขึ้น แก้ปัญหาอัมพฤกษ์
• ป้องกันการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็ง
• แก้ปัญหาท้องผูก การขับถ่ายจะดีขึ้น ริดสีดวงทวารทุเลาและหายได้
• ช่วยดับกลิ่นตัว กลิ่นปาก กลิ่นเท้า จากต้นเหตุ
• บรรเทาอาการชา บวมและเส้นเลือดขอดให้ทุเลาลงได้
• ยับยั้งการเจริญเติบโตของแบคทีเรีย ใช้รักษาแผลอักเสบแผลเปื่อย แผลเรื้อรัง แผลถลอก แผลไฟไหม้ เหงือกอักเสบ แผลในปาก
• บรรเทาอาการปวดศรีษะทั่วไปและปวดศรีษะไมเกรนได้
• ช่วยบรรเทาเรื่องโรคกระเพาะและลำไส้อักเสบได้
• แก้ปัญหาเรื่องสิว ฝ้า ปวดประจำเดือน ประจำเดือนมาไม่ปกติ
• ช่วยให้ผู้ที่เป็นต้อการะจก ต้อเนื้อมองเห็นดีขึ้น
• มีสารอาหารบำรุงเส้นผม ทำให้ผมหงอกดำขึ้น ช่วยลดอาการผมร่วง
• บรรเทาอาการปวด   

เลือด คือสิ่งสำคัญของมนุษย์  !!!

 ฉะนั้น ไม่ว่าจะเป็นอะไร ถ้าหากเลือดดี แข็งแรง สะอาดทุกอย่างก็จะดี


โครงสร้างของคลอโรฟิลล์กับเม็ดเลือดแดง,คลอโรฟิลล์บริสุทธิ์ ,ประโยชน์ของคลอโรฟิลล์ที่มีผลต่อเลือด


วิธีการดื่มคลอโรฟิลล์เพื่อบำรุงสุขภาพ

วิธีการดื่มคลอโรฟิลล์เพื่อบำรุงสุขภาพ

ในการใช้ประโยชน์ของคลอโรฟิลล์ในการบำบัดรักษาแต่ละโรคนั้นมีขนาดการใช้ที่แตกต่างกันไปควรจะได้รับการแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญ และใช้ในรูปแบบผลิตภัณฑ์เสริมอาหารเท่านั้น
โดยการแนะนำการใช้นั้น ได้จากการติดตามผลการบำบัดรักษาจากผู้ที่เคยเจ็บป่วยและได้ดื่มคลอโรฟิลล์บริสุทธิ์ 100 % จากบ้านสมุนไพร แล้ว สามารถฟื้นฟูสุขภาพให้กลับมาแข็งแรงจนเป็นปกติได้ โดยใช้คลอโรฟิลล์บริสุทธ์ 100 % ปริมาณ 10 ซีซี ผสมน้ำสะอาด 1.5 ลิตร โดยในช่วงแรกนั้น
ดื่มวันละ 2 ครั้ง ในตอนเช้าหลังจากตื่นนอนแล้วดื่มทันที 1 แก้ว และก่อนเข้านอน 1 แก้ว เพื่อปรับสมดุลย์ร่างกายและขับล้างสารพิษในเลือด





ดื่มคลอโรฟิลล์บริสุทธิ์ 100% เป็นประจำ เพื่อปรับสมดุลย์ของร่างกาย และล้างสารพิษในเลือด

วิธีดื่มใช้คลอโรฟิลล์บริสุทธ์ 100 % ปริมาณ 10 ซีซี ผสมน้ำสะอาด 1.5 ลิตร ดื่ม วันละ 2 ครั้ง ในตอนเช้าหลังจากตื่นนอนแล้วดื่มทันที 1 แก้วก่อนเข้านอน 1 แก้วเพื่อปรับสมดุลย์ร่างกายและล้างสารพิษในเลือด