กำเนิดคลอโรฟิลล์

คลิโรฟิลล์ (CHLOROPHYLL)

      คลอโรฟิลล์ (CHLOROPHYLL) คือ สารประกอบที่ทำให้พืชมีสีเขียว และทำหน้าที่หลัก คือ สังเคราะห์แสง (PHOTOSYNTHESIS)  โดยการเปลี่ยนแปลงพลังงานจากแสงอาทิตย์ ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ และแร่ธาตุต่างๆ จากดินให้กลายเป็นสารอาหารที่จำเป็นสำหรับการเจริญเติบโตของพืช รวมทั้งให้ก๊าซออกซิเจนที่สำคัญต่อการดำรงชีวิตของมนุษย์และสัตว์ แต่บางชนิดสังเคราะห์แสงได้แม้ในที่ไม่มีแสง เช่น ในร่างกายของตน จึงมีการค้นคว้าเกี่ยวกับการทำงานหรือปฏิกิริยาของคลอโรฟิลล์ต่อคน
      พบว่าคลอโรฟิลล์ที่อยู่ในเซลล์ของพืชทั่วไป จะถูกปกป้องและปิดกั้นด้วยผนังหรือเยื่อหุ้มเซลล์อีกชั้นหนึ่ง ทำให้ระบบการย่อยอาหารปกติของร่างกายเราไม่สามารถบดย่อย เพื่อให้ได้สารคลอโรฟิลล์เพียงพอกับการต้องการของร่างกายเราได้ เราจะบริโภคผักใบเขียวเป็นจำนวนมากในแต่ละวันก็ตาม อีกทั้งคลอโรฟิลล์โดยตัวของมันเองละลายน้ำไม่ได้ จะละลายได้ในไขมันหรือในแอลกอฮอล์บางชนิดเท่านั้น แต่ด้วยเทคโนโลยีในปัจจุบัน เราสามารถสกัดเอาเฉพาะสารคลอโรฟิลล์ออกมาได้อย่างสมบูรณ์และบริสุทธิ์ โดยปราศจากการสูญเสียคุณค่าทางอาหารตามธรรมชาติร่างกายจึงสามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้ทันทีอย่างเต็มที่ และเป็นคลอโรฟิลล์ชนิดละลายน้ำได้ จึงดูดซึมได้ทันทีในกระเพาะอาหาร ในกรณีที่ร่างกายใช้ไม่หมด จะถูกขับทิ้งไปทางระบบขับถ่ายไม่สะสมไว้ในร่างกายผิดกับคลอโรฟิลล์ชนิดที่ละลายในไขมัน   จะไม่ถูกดูดซึมที่กระเพาะอาหารแต่จะย่อยและดูดซึมได้ในลำไส้เล็ก 
      คลอโรฟิลล์ชนิดนี้เมื่อร่างกายใช้ไม่หมดจะถูกส่งไปสะสมไว้ที่ตับ(LIVER) ในระยะเวลาหนึ่ง ซึงอาจจะเกิดอันตรายต่อตับได้ องค์การอาหารและยาสหรัฐจึงให้การับรองเฉพาะคลอโรฟิลล์ที่ละลายน้ำได้(WATER SOLUBLE CHOLROPHYLL) เท่านั้น ว่าปลอดภัยต่อการบริโภคของคน ถึงแม้ว่าจะบริโภคในปริมาณมากต่อวัน ก็ไม่เกิดผลเสียต่อร่างกายแต่อย่างใด ผลข้างเคียงที่เกิดขึ้นมีเพียงแต่อาการท้องเสียอย่างเบาบางในบางกรณีเท่านั้น
      สูตรโครงสร้างของโมเลกุลที่ใกล้เคียงกับโมเลกุลเม็ดเลือดแดง ต่างกันเฉพาะตรงกลางที่คลอโรฟิลล์มีแมกนีเซียม(Mg) และเม็ดเลือดแดงมีเหล็ก (Fe) จึงทำให้สีต่างกัน คือ คลอโรฟิลล์มีสีเขียวแต่เม็ดเลือดมีสีแดงจากจุดนี้เองที่ทำให้คลอโรฟิลล์ถูกเรียกว่า เลือดของพืช”(BLOOD OF PLANT)
            ผลการวิจัยทางวิทยาศาสตร์การแพทย์ สรุปตรงกันออกมาว่า คลอโรฟิลล์สามารถกระตุ้นการสร้างเม็ดเลือดแดงได้ จนผู้ทำวิจัย ได้รับรางวัลโนเบล(NOBLE PRIZE) ไปแล้วถึง 2 ท่านด้วยกัน คือ
·       ดร.ริชาร์ด วินสเตตเตอร์ (DR. RICCHARD WINSTATER) ศาสตราจารย์จากมหาวิทยาลัยออสเตรีย ในปี ค.ศ. 1915 และ
·       ดร. ฮันส์  ฟิชเชอร์ (DR.HANS FISHER M.D.) นายแพทย์ชาวเยอรมันในปี ค.ศ.1930ผู้ซึ่งค้นพบความสัมพันธ์ระหว่างเม็ดเลือดแดงและคลอโรฟิลล์ในบางเงื่อนไขสมารถแทนที่ศูนย์กลางของคลอโรฟิลล์ด้วยเหล็ก(Fe) จากอาหารธรรมชาติบางประเภท ทำให้อัตราการเพิ่มของเม็ดเลือดแดงดีขึ้น ทั้งนี้แมกนีเซียม (Mg) ที่หลุดออกไปจากศูนย์กลางโมเลกุลของคลอโรฟิลล์ ก็จะทำหน้าที่พาแคลเซียม(Ca) เข้าไปอุดรูพรุนของกระดูกต่างๆ ทำให้กระดูกแข็งแรงขึ้น ในโพรงกระดูก ซีงมีไขกระดูก (BONE MARROW)อยู่ก็จะมีการสร้างเม็ดเลือดแดงได้ในปริมาณที่มากขึ้น (หน้าที่ของไขกระดูก คือ สร้างเม็ดเลือดแดงและปรับระดับความเป็นด่างในกระแสเลือด)
            จากการทำวิจัยขององค์การอาหารและยาสหรัฐ กับผู้ป่วยแผลเปิด จำนวน 3,600 ราย พบว่าคลอโรฟิลล์ช่วยกระตุ้นให้มีการสร้างเซลล์ใหม่ให้เร็วขึ้นทำให้แผลหายเร็วกว่าปกติ 25%ขึ้นไปและรอยแผลเป็นลดขนาดลงกว่า 50 % หรือมากกว่า
            จากกรณีนี้จึงมีการวิจัยต่อเกี่ยวกับการรักษาอาการเจ็บป่วยในร่างการ อันเป็นสาเหตูของการเกิดกลิ่นอันไม่พึงประสงค์ พบว่าผู้ป่วยทั้ง 1227 ราย กลิ่นภายในหายหมดหลังจากใช้คลอโรฟิลล์ผ่านไป 2 สัปดาห์ จึให้การรับรองว่าเป็นยาดับกลิ่นภายใน สามารถซื้อขายได้ตามร้านขายยาทั่วไป ตั้งแต่วันที่ 11  พฤษภาคม 1990  ตามเอกสารขึ้นทะเบียนยาที่ 21 CFR Part 357 Deodorant Drug Products for Internal Use for Over-the Counter Human Use: Final Monograph Final Rule
            การสกัดและวิเคราะห์ คลอโรฟิลล์ จากพืชกว่า 6,000 ชนิด พบว่าพืชที่ใช้ คลอโรฟิลล์ที่บริสุทธิ์และดีที่สุดคือ อัลฟัลฟ่า”  (ALFALFA) ซึ่งจัดเป็นพืชจำพวกที่มีฝัก (LEGUMES) ตระกูลถั่ว และมีระบบรากที่มหัศจรรย์มาก ในบางพื้นที่รากของต้นอัลฟัลฟ่าสามารถชอนไชลงไปลึกกว่า 130 ฟุต จึงมีประสิทธิภาพในการดูดซึมอาหารได้มากกว่า และบริสุทธิ์กว่าอีกทั้งตัวของมันเองจะไม่สะสมสารพิษ ชาวอาหรับโบราณรู้จักใช้ประโยชน์จาก อัลฟัลฟ่ามากกว่า 200 ปี ก่อนคริสตกาล โดยใช้เป็นพืชเลี้ยงสัตว์ และใช้ใบมาตากแห้งชงเป็นชาดื่ม จึงขนานนามว่า “AL-FAS-FAH-SHA หรือ ราชาแห่งอาหารทั้งมวล
ประโยชน์ของคลอโรฟิลล์จากต้น อัลฟัลฟ่า                                                          
            สามารถใช้บำบัดอาการปวด บวม และอักเสบต่างๆ เช่น ปวดข้อ จนกระทั่งถึงความผิดปกติในระบบทางเดินอาหาร และเซลล์ตับถูกทำลาย นอกจากนี้ยังเชื่อกันว่า อัลฟัลฟ่า สามารถช่วยทำให้เลือดสะอาดขึ้น
·       อัลฟัลฟ่า เป็นพืชที่ให้กรดอะมิโนที่จำเป็นครบทั้ง 8 ชนิด ซึ่งได้แก่ :-กรดอะมิโนโอโซลิวซีน,ลิวซีน,ไลซีน,เมไธโอนิน,พีนิลละลานีน,เทรโอนีน,ทริปโตฟาน,วาลีน
·       อัลฟัลฟ่า มีกรดอะมิโน เหล่านี้ ร่างกายสร้างเองไม่ได้ แต่จำเป็นต้องมีไว้เพื่อใช้ประโยชน์ในการสร้างเซลล์ใหม่ใน อัลฟัลฟ่า ยังมีวิตามิน ดังนี้ วิตามิน เอ,วิตามิน บี 6,วิตามิน บี 12,วิตามิน ดี,วิตามิน เค
·       อัลฟัลฟ่า มีเกลือแร่ ได้แก่ :-ฟอสฟอรัส,โปรแตสเซียม,แคลเซียม,สังกะสี,เซเลเนียม,แมกนีเซียม
·       อัลฟัลฟ่า มีสารเอนไซม์หลัก 8 ชนิด ได้แก่ :-ไลเปส,อาเมเลส,โคกูเลส,อีมูลซิน,อินเวอร์เตส,เปอร์อ๊อกซิเตส,เพคติเนส,โปรตีส
·       มนุษย์เราต้องการเอนไซม์มากกว่า 3,000 ชนิด แต่ร่างกายสร้างได้เองเพียงไม่กี่ชนิด นอกนั้นต้องบริโภคจากอาหารสดประจำวันประเภทพืชผัก และผลไม้ต่างๆ  แต่ถ้าหากอาหารเหล่านี้ผ่านความร้อนเกินกว่า 55 องศาเซนเซียส ขึ้นไป เอนไซม์ต่างๆ จะเสื่อม หรือเปลี่ยนรูปไป และร่างกายจะไม่ได้ประโยชน์อะไรเลย
            ร่างกายต้องการเอนไซม์เพื่อช่วยปรับระดับความสมดุลของระบบภูมิคุ้มกันต่างๆ และจากวิธีการรับประทานอาหารในปัจจุบันนี้ เราได้รับเอนไซม์เข้าไปในร่างกายน้อยมาก
·       อัลฟัลฟ่ายังมี ซาโปนินซึ่งเป็นสารที่มีผลในการลดการอุดตันของเลือด และช่วยยับยั้งคลอเลสเตอรอลชนิดเลว (LDL) ในเลือดลงได้ ช่วยลดความดันโลหิตลง
·       สารไอโซฟลาโวน,ฟลานโวน ,เตอโรล ในอัลฟัลฟ่ายังช่วยกระตุ้นการสร้าง ฮอร์โมนเอสโตรเจนและปรับระดับฮอร์โมนนี้ในสุภาพสตรี ทั้งก่อนมีรอบเดือน (PMS) และอยู่ในวัยที่ใกล้จะหมดรอบเดือน (MENOPAUSE)
· 
· 

ประธานบริษัท ดีซูซ่า อินเตอร์เนชั่นแนล

.
 
 อ้างอิงค์ที่มา      Mrs.Rosalie P.De Souza    ประธานผู้ก่อตั้ง ดีซูซ่า

คุณประโยชน์ของ คลอโรฟิลล์บริสุทธิ์ 100%

ประโยชน์ของ คลอโรฟิลล์บริสุทธิ์ 100% 

• ทำให้สดชื่น หายเหนื่อยจากการอ่อนเพลีย   
• ลดความดันโลหิต ลดปัญหาเส้นเลือดหัวใจตีบ
• ปรับระดับน้ำตาลสำหรับผู้ที่ป่วยเป็นโรคเบาหวาน และปรับการทำงานของตับอ่อนให้ดีขึ้น
• ทำให้อาการของคนที่เป็นโรคภูมิแพ้ แพ้อากาศ ผื่นลมพิษ ทุเลาลง
• ขับกรดจากข้อต่อต่าง ๆ ทำให้อาการปวดข้อ ปวดเมื่อยตามตัวทุเลาลง 
• ขับสารพิษออกจากร่างกาย สารตกค้างของยาปฏิชีวนะ สารเคมีตกค้าง ในอาหาร    ทำให้ร่างกายมีภูมิต้านทานดี สุขภาพแข็งแรงสดชื่นขึ้น
• เพิ่มประสิทธิภาพเม็ดเลือดแดงและเซลล์เม็ดเลือดแดงทำให้ระบบเลือดไหลเวียนดีขึ้น แก้ปัญหาอัมพฤกษ์
• ป้องกันการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็ง
• แก้ปัญหาท้องผูก การขับถ่ายจะดีขึ้น ริดสีดวงทวารทุเลาและหายได้
• ช่วยดับกลิ่นตัว กลิ่นปาก กลิ่นเท้า จากต้นเหตุ
• บรรเทาอาการชา บวมและเส้นเลือดขอดให้ทุเลาลงได้
• ยับยั้งการเจริญเติบโตของแบคทีเรีย ใช้รักษาแผลอักเสบแผลเปื่อย แผลเรื้อรัง แผลถลอก แผลไฟไหม้ เหงือกอักเสบ แผลในปาก
• บรรเทาอาการปวดศรีษะทั่วไปและปวดศรีษะไมเกรนได้
• ช่วยบรรเทาเรื่องโรคกระเพาะและลำไส้อักเสบได้
• แก้ปัญหาเรื่องสิว ฝ้า ปวดประจำเดือน ประจำเดือนมาไม่ปกติ
• ช่วยให้ผู้ที่เป็นต้อการะจก ต้อเนื้อมองเห็นดีขึ้น
• มีสารอาหารบำรุงเส้นผม ทำให้ผมหงอกดำขึ้น ช่วยลดอาการผมร่วง
• บรรเทาอาการปวด   

เลือด คือสิ่งสำคัญของมนุษย์  !!!

 ฉะนั้น ไม่ว่าจะเป็นอะไร ถ้าหากเลือดดี แข็งแรง สะอาดทุกอย่างก็จะดี


โครงสร้างของคลอโรฟิลล์กับเม็ดเลือดแดง,คลอโรฟิลล์บริสุทธิ์ ,ประโยชน์ของคลอโรฟิลล์ที่มีผลต่อเลือด


วิธีการดื่มคลอโรฟิลล์เพื่อบำรุงสุขภาพ

วิธีการดื่มคลอโรฟิลล์เพื่อบำรุงสุขภาพ

ในการใช้ประโยชน์ของคลอโรฟิลล์ในการบำบัดรักษาแต่ละโรคนั้นมีขนาดการใช้ที่แตกต่างกันไปควรจะได้รับการแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญ และใช้ในรูปแบบผลิตภัณฑ์เสริมอาหารเท่านั้น
โดยการแนะนำการใช้นั้น ได้จากการติดตามผลการบำบัดรักษาจากผู้ที่เคยเจ็บป่วยและได้ดื่มคลอโรฟิลล์บริสุทธิ์ 100 % จากบ้านสมุนไพร แล้ว สามารถฟื้นฟูสุขภาพให้กลับมาแข็งแรงจนเป็นปกติได้ โดยใช้คลอโรฟิลล์บริสุทธ์ 100 % ปริมาณ 10 ซีซี ผสมน้ำสะอาด 1.5 ลิตร โดยในช่วงแรกนั้น
ดื่มวันละ 2 ครั้ง ในตอนเช้าหลังจากตื่นนอนแล้วดื่มทันที 1 แก้ว และก่อนเข้านอน 1 แก้ว เพื่อปรับสมดุลย์ร่างกายและขับล้างสารพิษในเลือด





ดื่มคลอโรฟิลล์บริสุทธิ์ 100% เป็นประจำ เพื่อปรับสมดุลย์ของร่างกาย และล้างสารพิษในเลือด

วิธีดื่มใช้คลอโรฟิลล์บริสุทธ์ 100 % ปริมาณ 10 ซีซี ผสมน้ำสะอาด 1.5 ลิตร ดื่ม วันละ 2 ครั้ง ในตอนเช้าหลังจากตื่นนอนแล้วดื่มทันที 1 แก้วก่อนเข้านอน 1 แก้วเพื่อปรับสมดุลย์ร่างกายและล้างสารพิษในเลือด

ข้อมูลทั่วไปเกี่ยวกับคลอโรฟิลล์

การใช้คลอโรฟิลล์บริสุทธิ์ ในการบำบัดฟื้นฟูสุขภาพ 

การใช้คลอโรฟิลล์บริสุทธิ์100% ในการบำบัดรักษาโรคภูมิแพ้ ซึ่งผู้ป่วยเป็นโรคภูมิแพ้มานานหลายปี มีน้ำมูกไหลตลอดเวลา มีอาการจามตอนเช้าหรือช่วงเวลาที่อาการเย็นหรือฝนตก เป็นตลอดเวลาที่มีอากาศเย็น มีผื่นคันคล้ายๆ ลมพิษ สามารถดื่มคลอโรฟิลล์บริสุทธิ์ 100 % เพื่อช่วยฟื้นฟูสภาพร่างกายให้ดีขึ้

โดยมีวิธีการดื่มดังนี้  ใช้คลอโรฟิลล์บริสุทธิ์100% ปริมาณ 10 ซีซี ผสมน้ำ 1.5 ลิตร โดยในช่วงแรกนั้นดื่มวันละ 2 ครั้ง ในตอนเช้าหลังจากตื่นนอนแล้วดื่มทันที 1 แก้ว และก่อนเข้านอน 1 แก้ว เป็นเวลา 7 วันเพื่อให้คลอโรฟิลล์เข้าไปปรับสมดุลย์ในร่างกายและเริ่มต้นฟื้นฟูเซลล์ต่าง
หลังจากนั้น
ใช้คลอโรฟิลล์บริสุทธิ์100% ปริมาณ 15 ซีซี ผสมน้ำ 1.5 ลิตร ดื่มแทนน้ำตลอดทั้งวัน  
ช่วงวันที่ 1 – 7 อาการช่วงนี้จะจามบ่อย มีน้ำมูกออกมากขึ้น บางรายอาจเป็นไข้ อยู่ช่วงเวลาหนึ่ง บางท่านอาจมีอาการปวดหัวร่วมด้วย แต่ให้ดื่มต่อไปเรื่อยๆ จะสังเกตว่าทุกอย่างจะดีขึ้น ภายในระยะเวลา 1 เดือน น้ำมูกลดน้อยลง อาการจามหายไป
  • หลีกเลี่ยงการรับประทาน ผงชูรส และน้ำอัดลม
  • งดการดื่มนมวัว หรือผลิตภัณฑ์ที่ทำจากนมวัว
  • งดรับประทานเนื้อสัตว์ทุกชนิด (ยกเว้นเนื้อปลาทานได้) ลดปริมาณการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอลล์
  • สามารถใช้ร่วมกับยาแผนปัจจุบันหรือการรักษาทางแพทย์แผนปัจจุบันได้

ความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับ คลอโรฟิลล์บริสุทธิ์

คลอโรฟิลล์

 คือส่วนที่เป็นสีเขียวในพืช มีหน้าที่สังเคราะห์แสง โดยใช้พลังงานจากแสงอาทิตย์มารวมกับคาร์บอนไดออกไซค์ที่พืชดูดจากอากาศผ่านทางใบ รวมกับน้ำที่พืชดูดมาทางราก กลายเป็นอาหารทำให้พืชเจริญเติบโตได้ และคายก๊าซออกซิเจนออกมา จากการสกัด และวิเคราะห์ "คลอโรฟิลล์" จากพืชกว่า 6000 ชนิด พบว่าคลอโรฟิลล์ที่ได้จากต้นอัลฟัลฟ่า จะบริสุทธิ์และดีที่สุด เพราะระบบราก สามารถชอนไชในดินได้ลึกกว่า 130 ฟุตดังนั้นจึงสามารถดูดซึมอาหารได้มากกว่า บริสุทธิ์กว่า ไม่สะสมสารพิษไว้ในตัวมันเอง ในการสกัดคลอโรฟิลล์บริสุทธิ์นั้น เราจะนำเอาต้นอัลฟัลฟ่าที่ไม่แก่เกินไปหรืออ่อนเกินไปมาคั้นเอาน้ำสีเขียวพร้อมทั้งเกลือแร่ต่างๆ เช่นกรดอะมิโน 8 ชนิด ได้แก่ กรดอะมิโนไอโซลิวซีน , ลิวซีน , ไลซีน , เมไธโอนีน , ฟินิลอะลานีน , เทรโอนีน , ทริปโตฟาน , และวานลีน ซึ่งกรดอะมิโนเหล่านี้ ร่างกายไม่สามารถสร้างเองได้ แต่มีความจำเป็นต่อร่างกาย พร้อมทั้งเกลือแร่อื่นๆ เช่น ฟอสฟอรัส , แคลเซียม , โปแตสเซียม , สังกะสี , เซเลเนียม และแมกเนเซียมและวิตามินต่างๆ เช่น วิตามิน เอ,บี,ดี,อี และ เค และเอ็นไซม์ต่างๆ ที่ช่วยต้านสารพิษได้ดีกว่าพืชชนิดอื่น เราจะนำน้ำอัลฟัลฟ่า สีเขียวนี้มาดูดความชื้นออก และทำให้แห้งภายใน 3 วินาที ด้วยวิธีการฟรีซดราย ภายใต้อุณหภูมิเย็นพิเศษจะได้คลอโรฟิลล์ผงที่ละลายน้ำได้ 100% ผงที่สกัดแห้งนี้สามารถเก็บไว้ได้นาน นับสิบปี  

อัลฟัลฟา (Alfalfa) กับประโยชน์ต่อร่างกาย

ประโยชน์หลักของ อัลฟัลฟา (Alfalfa) ที่มีการใช้อย่างแพร่หลายคือใช้เพื่อสุขภาพสตรีวัยใกล้หมดประจำเดือนสตรีวัย ใกล้หมดประจำเดือน ควรรับประทาน อัลฟัลฟา (Alfalfa) เป็นประจำ

อัลฟัลฟา ถูกจัดเป็นเอสโตรเจนธรรมชาติ (phytooestrogen) สตรีในวัยใกล้หมดประจำเดือน เอสโตรเจนจะลดต่ำลงส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของสภาพร่างกายและภาวะกระดูก เสื่อม ไฟโต-เอสโตรเจนในอัลฟัลฟา จะเข้าไปชดเชยเอสโตรเจนที่ต่ำลงนี้ รวมทั้ง ไวตามินดี แร่ธาตุ แคลเซียมและฟอสฟอรัส ในอัลฟัลฟาซึ่งเป็นแร่ธาตุที่ทำให้กระดูกฟันแข็งแรง จึงลดความเสี่ยงที่จะเกิดภาวะกระดูกเสื่อม นอกจากนี้ ไวตามินและแร่ธาตุในอัลฟัลฟา จะช่วยให้ร่างกายปรับสภาพได้อย่างเหมาะสม ลดอาการผิดปกติในช่วงนี้ เช่น ร้อนวูบวาบตามตัว หงุดหงิดง่ายลงด้วย

คุณสมบัติของสารอาหารในอัลฟัลฟ่า มีดังนี้

1. แก้ปัญหาท้องผูก ทำให้ระบบขับถ่ายดีขึ้น บรรเทาอาการริดสีดวงทวาร
2.
ขับสารพิษออกจากร่างกาย ทำให้ร่างกายมีภูมิต้านทานดีขึ้น
3.
ยับยั้งการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็ง
4.
ช่วยลดแผลอักเสบ ยั้บยั้งการเจริญเติบโตของแบคทีเรีย
5.
ช่วยอาการชา บวม และเส้นเลือดขอดบรรเทาลง
6.
ขับกรดจากข้อต่าง ๆ ทำให้อาการปวดข้อทุเลาลง
7.
ปรับระดับน้ำตาลสำหรับผู้ป่วยที่เป็นโรคเบาหวาน
8.
ลดความดันโลหิต ลดปัญหาเส้นเลือดหัวใจตีบ
9.
ทำให้คนที่เป็นภูมิแพ้มีอาการดีขึ้น
10.
เพิ่มประสิทธิภาพเม็ดเลือดแดงทำให้ระบบเลือดไหลเวียนดีขึ้น
11.
มีสารอาหารที่บำรุงเส้นผม ทำให้ผมหงอกกลับดำขึ้น ช่วยลดอาการผมร่วง
12.
ช่วยให้ผู้ที่เป็นต้อกระจกมองเห็นดีขึ้น
13.
ช่วยบำรุงผิวพรรณให้เปล่งปลั่งมีน้ำมีนวล
14.
ช่วยปรับสภาพของผู้หญิงวัยทอง

สารที่ประกอบอยู่ในอัลฟาฟ่า

อัลฟัลฟา อัลฟัลฟา (Alfalfa)(Lucenc) จัดเป็นพืชจำพวกตระกูลถั่วที่มีฝัก เป็นพืชพื้นเมืองของเอเชียตะวันตก และแถบเมดิเตอร์เรเนียนตะวันออก เป็นพืชชนิดแรก ๆ ที่ใช้เพื่อการเพาะปลูก เติบโตได้ในแถบทุกอากาศทั่วโลก อัลฟัลฟา (Alfalfa) มีระบบรากที่มหัศจรรย์มาก ในบางพื้นที่รากของ อัลฟัลฟา (Alfalfa) สามารถชอนไชลงไปได้ลึกกว่า 130 ฟุต จึงมีประสิทธิภาพในการดูดซึมธาตุอาหารได้มากกว่าและบริสุทธิ์กว่า อีกทั้งตัวของ อัลฟัลฟา (Alfalfa) เองก็จะไม่สะสมสารพิษ ชาวอาหรับโบราณรู้จักใช้ประโยชน์จาก อัลฟัลฟา (Alfalfa)” มากว่า 2,000 ปีก่อนคริสตกาล โดยใช้เป็นพืชเลี้ยงสัตว์ เพื่อเพิ่มความเร็วและแข็งแรงให้กับม้า อีกทั้งยังใช้ใบมาตากแห้งชงเป็นชาดื่ม ด้วยคุณค่าทางอาหารที่มากมายชาวอาหรับจึงขนานนาม อัลฟัลฟา (Alfalfa) ให้เป็น AL-FAS-FAH-SHA หรือ ราชาแห่งอาหารทั้งมวลหรือบิดาของอาหารทุกชนิด (Father of All Foods)
อัลฟัลฟา (Alfalfa) ได้ถูกใช้เพื่อการรักษาทางการแพทย์มาตั้งแต่โบราณ โดยแพทย์ชาวจีนได้ใช้ใบ อัลฟัลฟา (Alfalfa) อ่อนในการรักษาอาการย่อยไม่ปกติ เช่นเดียวกันกับแพทย์ชาวอินเดียที่ใช้ใบ และดอกสำหรับการรักษากระบวนการย่อยทำงานที่ทำงานได้น้อย นอกจากนี้ อัลฟัลฟา (Alfalfa) ยังใช้เพื่อการบำบัดโรคข้อต่ออักเสบ ชาวอินเดียในอเมริกาเหนือได้แนะนำให้ใช้ อัลฟัลฟา (Alfalfa) ในการรักษาโรคดีซ่าน และช่วยสนับสนุนการจับตัวของเลือด แพทย์ที่ใช้สมุนไพรเพื่อการบำบัดในอเมริกาได้แนะนำให้ใช้ อัลฟัลฟา (Alfalfa) เป็นยาสำหรับอาการย่อยไม่เป็นปกติ ภาวะโลหิตจาง เบื่ออาหารและอาการดูดซึมอาหารไม่ดี นอกจากนี้ยังแนะนำว่า อัลฟัลฟา (Alfalfa) มีส่วนกระตุ้นให้การหลั่งน้ำนมในแม่ดีขึ้นอีกด้วย
ดร.แฟรงค์ โบเออร์ นักชีววิทยา ผู้เขียนตำราเกี่ยวกับโภชนาการที่มีชื่อของสหรัฐถึงกับให้ฉายาของ หญ้าอัลฟัลฟานี้ว่า ยารักษาโรคที่มหัศจรรย์

สารที่ประกอบอยู่ใน อัลฟัลฟา (Alfalfa)

อัลฟัลฟาประกอบด้วย ไวตามินที่มีประโยชน์มากมายหลายชนิดใน อัลฟัลฟา” 100 กรัม มีไวตามินเอ 8,000 ยูนิต และยังมีไวตามินเค ตามธรรมชาติ เป็นปริมษนสูงอีกด้วย ซึ่งช่วยในการแข็งตัวของเลือด อัลฟัลฟามีไวตามีเค สูงถึง 20,000 – 40,000 ยูนิต ในอัลฟัลฟา 100 กรัม
ด้วยระบบรากที่มีประสิทธิภาพในการดูดซึมธาตุอาหารมากกว่าพืชชนิดใด ๆ เป็นผลให้ อัลฟัลฟา (Alfalfa) เป็นพืชที่มีส่วนประกอบของสารต่าง  ๆ มากมาย มี กรดอะมิโน ที่จำเป็นต่อร่างการถึง 8 ชนิด เช่น Isoleucine, Leucine, Lysine, Methionine เป็นต้น ซึ่งเป็น กรดอะมิโน ที่ร่างกายไม่สามารถสร้างขึ้นเองได้ แต่จำเป็นต้องมีไว้เพื่อประโยชน์ในการสร้างเซลล์ใหม่ อีกทั้ง อัลฟัลฟา (Alfalfa) ยังมีวิตามินอีกมากมาย รวมถึงวิตามิน A, B1, B6, B8, B12, C, D, E, K, P และ U รวมทั้งยังประกอบไปด้วยเกลือแร่อีกหลากชนิด เช่น ฟอสฟอรัส โปรแตสเซียม แคลเซียม สังกะสี เซเลเนียม และแมกนีเซียม เป็นต้น และยังมีเอนไซม์หลักอีกถึง 8 ชนิด คือ ไลเปส อาเมเลล โคกุเลส อีมูลซิน อินเวอร์เคส เปอร์อ๊อกซีเตส เพคติเนส โปรตีส นอกจากนี้ อัลฟัลฟา (Alfalfa) ยังมีส่วนประกอบของสารอื่น ๆ อีกเช่น Betacarotene, Bioflavinoids, Carotene,Chlorine Chlorophyll, Flavone, Isoflavone, Sterol และ Saponin เป็นต้น ซึ่งล้วนแต่เป็นสารที่ให้คุณต่อร่างกายด้วยกันทั้งนั้น









คลอโรฟิลล์ สุขภาพ chollophill อัลฟัลฟา ALfalfa น้ำคลอโรฟิลล์